วันพุธที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2555

เทคนิคการอ่านหนังสือ"ขั้นเทพ"

การอ่าน ถือเป็นอาหารสมองชั้นเลิศของสมอง ดั๊บเบิ้ล เอ จัดโครงการ "ฝึกคิด สะกิดอ่าน กับ Double A Smart Kids" ขึ้น เพื่อเสริมสร้างเทคนิคการอ่าน การเขียน และการจดจำ ให้สามารถนำไปปรับใช้กับการเรียนการสอนในห้องเรียนได ้ โดยได้ "พญ.จิตรา วงศ์บุญสิน" ผู้เชี่ยวชาญด้านกุมารแพทย์ อีกทั้งยังเป็นคุณแม่ของลูกเจ้าของรางวัลเหรียญทองโอ ลิมปิคทางด้านวิชาการ สาขาชีววิทยา เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา มาเผยเทคนิคการอ่าน การเขียน และการจดจำ 

พญ.จิตราแนะนำว่า เทคนิคการอ่านเพื่อสร้างความจดจำ ไม่มีอะไรซับซ้อน เริ่มต้น 
1.เตรียมพร้อมที่จะอ่าน โดยสร้างความสนใจ และเห็นความสำคัญในสิ่งที่จะอ่าน 
2.หาสถานที่ที่เหมาะสม ไม่มีเสียงรบกวน 
3.นั่งตัวตรงที่ขอบเก้าอี้ ไม่พิงพนัก 
4.ปิดตาหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อผ่อนคลาย ใช้นิ้วชี้นำข้อความไปเรื่อยๆ 
5.อ่านบทนำ หัวข้อ ของผู้เขียน เพราะจะเป็นการรวบรวมเนื้อหาและขอบเขตของเนื้อหาทั้ง หมด 
6.ระหว่างอ่านต้องเตือนตัวเองว่าเนื้อเรื่องพูดถึงใค ร อะไร ที่ไหน เมื่อไหร่ อย่างไร 
7.อ่านเนื้อหา ไม่ต้องอ่านทุกคำ บางครั้งช่วยด้วยการอ่านออกเสียง และที่สำคัญคือ 
8.หลังอ่านจบ สรุปเนื้อหาสั้นๆ ซึ่งตรงนี้จะทำให้สามารถกลับมาทบทวนได้ง่าย ไม่ต้องมาอ่านหมดทั้งหน้าอีก และหากนำไปใช้บ่อยๆ ก็จะทำให้อ่านเร็วขึ้น ไม่ต้องใช้เวลาทั้งวันกับการอ่านหนังสือเพียงหน้าเดี ยวแล้วก็จำอะไรไม่ได้ 

จิตรา วงศ์บุญสิน "หลังจากอ่านหนังสือจบ จะต้องมีการทบทวนภายใน 24 ชั่วโมง เพราะจากการทดลอง พบว่า หากทบทวนภายใน 24 ชั่วโมง จะทำให้จำได้ถึง 80% และใช้เวลาน้อยมากในการอ่านทบทวน ซึ่งต่างจากคนที่ทบทวนภายใน 7 วัน จะจำได้เพียง 50% ส่วนคนที่ทบทวนก่อนสอบจะจำได้เพียง 20-30% เท่านั้น" 

ปิดท้ายด้วยเทคนิคการจำ พญ.จิตราบอกว่า ให้ใช้การจำโดยการแต่งเรื่องสนุกๆ โดยนำคำต่างๆ หรือเรื่องที่ต้องการจำมาแต่งเป็นเรื่องเป็นราว หรือเป็นเรื่องตลก เป็นต้น หรืออีกวิธีคือ การจำโดยใช้แผนที่ หรือที่เรียกว่า Mind Mapping ซึ่งวิธีนี้ จะทำให้เข้าใจง่าย และจำได้ง่ายขึ้น โดยบางครั้งอาจจะใช้วิธีการวาดรูปแทนข้อความบางข้อคว ามเพื่อสร้างความจดจำ เทคนิคง่ายๆ แต่ได้ประโยชน์มหาศาล

วันอังคารที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2554

แบบทดสอบ Present Tense


1.)How often _____ to the dentist?
a. do you go
b. does you go
c. go you

2.) She ______ get up early on Saturdays.
a. not
b.doesn't
c.don't

3.) My father _____ at a bank.
a.works
b. work
c.do work

4.) Where _____ live?
a.do your uncle
b.does your uncle
c.your uncle

5.) They _____ play golf.
a.not
b.doesn't
c.don't

6.) She _____ fluent French and German.
a.don't speak
b.speak
c.speaks

7.) ______ into the countryside?
a.Do you often drive
b.Often does you drive
c.Do you often drives

8.) I _____ drinking tea.
a.don't like
b.doesn't like
c.not like

9). Where _____?
a.does they live
b.do they live
c.live they

10.) The teacher _____ hard every day!
a. work
b.works
c.do work


 เฉลย
1. a 2. b 3. a 4. b 5. c 6. c 7 a 8 a 9 b 10 b

วันพุธที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2554

โครงสร้างของ Tense 12 Tense


โครงสร้างของ Tense 12 Tense

Simple S + V.1
Continuous S + is, am, are + V.1 ing
Perfect S + have, has + V.3 Perfect Conti. S + have, has + been + V. 1 ing
Simple S + V. 2
Continuous S + was, were + V.1 ing
Perfect S + had + V.3
Perfect Conti. S + had + been + V.1 ing
Simple S + will, shall + V.1
Continuous S + will, shall + be + V.1 ing
Perfect S + have, has + V.3
Perfect Conti. S + have, has + been + V.1 ing …

โครงสร้างของ Tense 12 Passive Voice

Simple S + is, am, are + V.3 + by
Continuous S + is, am, are + being + V.3 + by
Perfect S + have, has + been + V.3 + by
Perfect Conti. S + have, has + been + being + V.3 + by Simple S + was, were + V.3 + by
Continuous S + was, were + being + V.3 + by
Perfect S + had + been + V.3 + by
Perfect Conti. S + had + been + being + V.3 + by
Simple S + will, shall + be + V.3 + by
Continuous S + will, shall + be + being + V.3 + by
Perfect S + will, shall + have + been + V.3 + by Perfect Conti. S + will, shall + have + been + being + V.3 + by
 

วันพุธที่ 14 ธันวาคม พ.ศ. 2554

How to Confess your Love (7 เทคนิคในการบอกรัก)

คำว่า ฉันรักเธอ หรือ I love you นั้น ทำไมช่างเป็นอะไรที่ยากที่จะพูดเช่นนี้ วันนี้เรามาลองดูกันว่า การบอกรัก (Love confession) นั้นมีกี่แบบ และ แบบไหนที่เหมาะกับตัวคุณ ซึ่งแต่ละวิธีก็เหมาะกับคนในแต่ละบุคลิก (Personality) ใครที่กำลังจะบอกรัก ก็อย่าลืมลองนำวิธีใดวิธีหนึ่งในนี้ไปใช้ดูแล้วกัน
 
 
“Phone her and sing her a romantic song or play her favorite tune.”“โทรศัพท์หาเธอ และ ร้องเพลงที่สุดแสนจะโรแมนติคให้กับเธอ หรือ เล่นเพลงที่เธอชอบให้ฟัง”
 
 
1.Old-fashioned way หรือ แบบล้าสมัยหน่อยๆ
 
ถึงแม้วิธีนี้จะดูเชยก็ตาม แต่ก็มีหลายคนที่ประสบความสำเร็จ (successful)ในการบอกรักด้วยวิธีนี้มาแล้ว วิธีบอกรักวิธีนี้นั้นค่อนข้างเหมาะกับคนที่ขี้อาย (shy/timid) ไม่กล้าบอกรักซึ่งๆหน้าเนื่องด้วยเหตุผลต่างๆนานา ไม่ว่าจะเป็นเพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะไม่รับรัก หรือ เป็นคนขี้อายอยู่ทุนเดิมแล้วก็ตาม
 
 
“Send her a bunch of red roses or a love letter.”
“ส่งดอกกุหลาบสีแดงช่อใหญ่ หรือ จดหมายรักให้เธอ”
 

2.Romantic way หรือ แบบโรแมนติคสุดๆ สำหรับวิธีนี้แล้ว ถือว่าเป็นวิธีการที่ค่อนข้างมีประสิทธิภาพ (effective) และเป็นวิธีที่ค่อนข้างได้รับความนิยม (popular) ด้วย หากคุณต้องการส่งดอกไม้ให้เธอ คุณก็เพียงมอบช่อดอกไม้ให้เธอด้วยตัวเองหรือบริการส่งจากร้านดอกไม้ก็ได้ โดยหากไม่ได้มอบให้เธอด้วยตัวเอง ก็อาจจะแนบจดหมายเล็กๆบอกความในใจสักนิด รับรอง อยู่หมัด.. Confirmed!! และสำหรับคนที่ทุนน้อย ที่เลือกที่จะใช้วิธีการเขียนจดหมายรักนั้น จงจำไว้ว่า คำพูดไม่จำเป็นต้องสวยหรู (fabulous) แต่ขอให้เป็นคำพูดที่ออกมาจากใจคุณเอง (From the bottom of your heart) เพียงเท่านี้คุณก็อาจจะได้หัวใจเธอมาครอบครองอย่างง่ายดาย
 

“Just throw it into her face.”“ระบายความในใจกับเธอซึ่งๆหน้า”
 

3. Heroic way หรือ แบบลูกผู้ชาย
 
กล้าได้กล้าเสีย สำหรับวิธีนี้แล้วนับเป็นวิธีที่ค่อนข้างยาก และหลายคนคงใช้เวลาทำใจอยู่นาน ก่อนที่จะทำมันได้ เนื่องจากเป็นกังวล (worried) ว่า ปฏิกิริยา (Reaction) ของเธอนั้นจะเป็นอย่าไร ยังไงก็ตาม อย่าลืมเตรียมแผนสอง (Plan B) เอาไว้รองรับ ในกรณีที่เธอไม่รับรักด้วย แล้วจะหาว่าไม่เตือน…
 

“Express your love by email or text message.”
“แสดงความในใจของคุณผ่านทางอีเมล์หรือข้อความทางโทรศัพท์มือถือ”
 

4. Modern way หรือ แบบทันยุคทันสมัย
 
วัยรุ่นสมัยนี้ใช้เวลาอยู่กับเทคโนโลยี (Technology) ทั้งวี่ทั้งวัน วิธีนี้จึงถือว่าเป็นวิธีที่ค่อนข้างสะดวก (convenient) มากๆ โดยเฉพาะสำหรับคนที่มีกิ๊กเยอะๆ เนื่องจากสามารถส่งทีเดียวได้หลายคน ก็แค่ Just one click!! แต่สำหรับคนรักเดียวใจเดียว (constant in love/committed) ทั้งหลายคงจะไม่ค่อยชอบวิธีบอกรักแบบนี้เสียเท่าไร เนื่องจากเป็นวิธีที่ไม่ค่อยจะน่าประทับใจและได้ผลตอบรับที่ดีเสียเท่าไร แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณมั่นใจว่าเนื้อหาข้อความที่คุณส่งไปนั้นๆมีประสิทธิภาพซะอย่าง คุณจะต้องกลัวอะไรอีกละ Text her now..
 

“Make her tell you first”
“ทำให้เธอเป็นคนบอกเสียเอง”
 

5. Devious way หรือ แบบหลอกล่อให้เธอพูดเอง 
 
ถึงแม้ว่าวิธีนี้จะเป็นวิธีที่ค่อนข้างเห็นแก่ตัว (selfish) แต่ก็เป็นวิธีที่หลายคนชอบที่จะใช้ เนื่องจากเราจะเป็นฝ่ายที่ไม่มีความกดดัน (pressure) เลย เนื่องจากความกดดันนั้นตกไปอยู่กับอีกฝ่าย โดยวิธีก็มีอยู่หลายทาง เช่น ชิงถามเธอว่า “เธอชอบฉันมั้ย” (Do you like me?) แล้วยิงคำถามต่อว่า “ชอบแบบไหนหรอ เพื่อน หรือ มากกว่านั้น” (In which way, a friend or more than just a friend?) เท่านี้เอง คุณก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเสียหน้า (embarrassed) อีกต่อไป
 

“Make her laugh to win her heart”“ทำให้เธอหัวเราะเพื่อที่จะครอบครองใจเธอ”
 

6. Funny way หรือ แบบติดตลก 
 
วิธีนี้จะค่อนข้างเป็นธรรมชาติ (natural) และสามารถรับรู้ถึงแนวโน้มของอีกฝ่ายได้เป็นอย่างดี โดยอาจจะเริ่มด้วยการหยอดมุขหวานๆกับเธอแล้วค่อยๆเริ่มระบาย (express) ความในใจของคุณออกมา ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณไม่ได้กำลังทำให้เธออารมณ์เสีย (upset) กับมุขหวานๆของคุณ แต่ถ้าคุณเริ่มรู้สึกว่าเธอไม่เล่นด้วย ก็ค่อยๆเปลี่ยนมุขไปแนวอื่นๆ แล้วค่อยถอยกลับมาตั้งตัวใหม่แล้วกัน
 

“She just wants you to do something huge”“เธอก็แค่ต้องการให้คุณทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ให้เธอสักอย่าง”
 

7. Extreme way หรือ แบบสุดโต่ง 
 
จะมีสักกี่ครั้งกันที่คุณจะได้บอกรักกับเธอ ทำไมเราถึงจะทำให้มันยิ่งใหญ่ไปเลยไม่ได้ เช่น ทำให้เธอประหลาดใจ (surprised) ด้วยการขึ้นเวทีในร้านอาหารแล้วร้องเพลงบอกรักกับเธอ หรือ อาจจะซ่อนแหวนไว้ในเค้ก แล้วบอกรักเธอท่ามกลางฝูงชน (among the crowd) ก็ได้ รับรองได้ว่าสิ่งที่คุณทำจะเป็นความทรงจำที่มีคุณค่า (precious memory) และอยู่กับคุณทั้งสองคนไปนาน แต่ถ้าเธอไม่ตอบรับ ก็ตัวใครตัวมันคร้าบบ…